10 January 2008

COMPUTER-ASSISTED INSTRUCTION & PROGRAMMED LEARNING

Computer-assisted instruction (CAI) is an interactive instructional method that uses a computer to present material, track learning, and direct the user to additional material which meets the student’s needs. It can also be used to describe Internet based instruction through the use of webpages, web bulletin boards, listservs and newsgroups, video and real audio, graphics, and hands-on applications. Additionally, self-teaching programs on CD-ROM or the emerging DVD round out the group of available forms of CAI. (Bucholtz 50)

Programmed learning (PL) is interactive because the individual user actively responds to viewing and assimilating information from a non-interactive medium of instruction (e.g., normal text, filmstrips, television, etc.). Programmed learning is adaptive because PI are often designed to accommodate individual characteristics of users, such as background knowledge or the pace at which they learn. Programmed instruction (PI), as compared with programmed learning, is concerned only indirectly with what users do. Rather, programmed instruction refers to the practice of writing programmed materials. It is therefore concerned with what program writers do. It represents the teaching side of the teaching/learning distinction. In contrast, web based instruction uses hypermedia design which focuses on the needs of the student and the way in which he/she desires to access information. (Pressey 276)

CAI is an interactive instructional technique whereby a computer is used to present the instructional material and monitor the learning that takes place. It is also known as computer-assisted learning (CAL), computer-based education (CBE), and computer-based training (CBT). CBT allows the students to direct his/her own progress. (Fourie 48)

CAI learning uses a combination of text, graphics, sound and video in the learning process. It is especially useful in distance learning situations. The explosion of the Internet as well as the demand for distance learning has generated great interest and expansion of computer-assisted instruction. The first university formed to provide degrees entirely through Internet courses was Jones International University in 1993. It received full accreditation by the North Central Association of Colleges and Schools (NCA) on March 5, 1999. (Helfer 62) Currently, there are more and more colleges and universities offering web-based courses and programs.

09 January 2008

Planning & Scheduling

หลักจากทำงานกับเนื้อหาของ CAI จนได้ภาพทั้งหมดค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว ตังค์พร้อม ทีมพร้อม ก็เริ่มวางแผนทำงานกันเลย
ง่าย ๆ ครับ นัดทีมมาคุยกัน กางปฏิทินวันเดือนปีปัจจุบันถึงอนาคต แล้วก็หาคำตอบเรื่องวันเวลาที่จะทำให้งานทั้งหมดเสร็จจนเรียกว่า CAI สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ อย่าละเลยการวางแผน และกำหนด Schedule แบ่งงาน แบ่งหน้าที่ นัดตรวจสอบความก้าวหน้า ซึ่งจะทำให้เราสามารถ Map and Milestone ไปยังเป้าหมายได้ (ดูรูป ตัวอย่าง Schedule plan)


[ ตัวอย่าง Schedule Plan ]

ผมแนะนำให้พิมพ์ Schedule plan แจกให้ทุกคนในทีม และให้ทุกคนติดไว้ที่โต๊ะทำงานหรือ ๆ ที่ ๆ เห็นชัดเจนตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม Schedule plan ควรจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพความก้าวหน้าของงานเป็นระยะ ใช้วาระในการประชุมติดตามความก้าวหน้าของงานนั่นแหละ ควบการปรับ Schedule plan ไปพร้อม ๆ กัน
..... อย่างน้อย ใครทำ schedule คนอื่นเลื่อนออกไปก็จะได้เห็นหน้าเห็นตา ได้ฟังเหตุผล (หรือคำแก้ต่าง) จากปากเจ้าตัวไปพร้อมกัน

08 January 2008

โครงร่าง ที่ 1

ที่จริงผมถนัดเรียกว่าพิมพ์เขียวมากกว่า และผมจะเรียกว่าพิมพ์เขียวต่อไป เพียงแต่ขอทำความเข้าใจไว้ตรงนี้ว่า เมื่อผมพูดถึงพิมพ์เขียว ผมหมายถึงโครงร่างซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างของตัวโปรแกรม CAI เอง และ Master Plan ที่ใช้นำทางจากเริ่มต้นกระทั่งปิดโครงการแบบเสร็จสมบูรณ์
..... ออกจะเป็นพิมพ์เขียวที่แปลกแยกจากนิยามทั่วไปบ้าง
ก็เลยต้องทำความเข้าใจกันเอาไว้ก่อน

เราจะเริ่มต้นการทำ CAI กันตรงนี้......
  1. Executive Summary เขียนสรุปความเกี่ยวกับ CAI ของคุณซักหนึ่งหรือสองย่อหน้า และไม่ควรเกินหนึ่งหน้ากระดาษ A4 คุณจะเลือกเขียนเป็นภาษาพูดหรือจะเลือกเขียนแบบภาษาวิชาการเหมือนการเขียนบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ก็แล้วแต่อัธยาศัย ที่สำคัญ คือ เมื่ออ่าน ExSum คนอ่านควรจะจิตนาการเห็นภาพเดียวกับที่คนเขียนเห็น หรือใกล้เคียง
    ..... ถ้าคนเขียน ExSum เขียนด้วยภาพที่ชัดเจน ก็ไม่ต้องกังวลว่าคนอ่านจะไม่เห็นอะไร แต่ถ้าคนเขียนเขียนด้วยภาพพร่ามัว อนาคต CAI ชุดนี้คงไม่แจ่มชัดเท่าไหร่!!!
  2. Content Preview and Perspective เขียนโครงสร้างเนื้อหาใน CAI ให้เห็นโครงสร้างว่ามีเนื้อหาแบ่งเป็นบทเป็นตอนอย่างไร เรียงลำดับเนื้อหาจากเรื่องอะไร ต่อด้วยเรื่องอะไร
    ..... ส่วนใหญ่เราจะกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้เป็นโจทก์ในการ PrePer Content แต่ก็มีไม่น้อยที่ PrePer Content ด้วยทฤษฏีการเรียนรู้หรือจิตวิทยาการเรียนรู้ แต่แบบไหนก็ใช้ได้ครับ ให้ครบรายละเอียดทั้งหมดก็พอ
  3. Resource Collection ในส่วนของทรัพยากรอื่น ๆ ที่จะใช้ประกอบเนื้อหา ผมจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
    - Content Resource จะเป็นทรัพยาการหลัก หรือเนื้อหลัก ตั้งแต่บทความ (Text content) เสียงบรรยาย (Sound Voice) ภาพประกอบ (Image) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) วิดีโอ (Video) แบบฝึกหัด (Exercise) ตัวอย่าง (Example) สถานการณ์จำลอง (Demonstrate) เป็นต้น
    - Non-content Resource กลุ่มนี้จะเป็นทรัพยากรเพื่อเติมความสวยงาม ดึงดูดใจ ตื่นเต้น ทึ่ง หรือแม้แต่ทรัพยากรเพื่อสร้างกุศโลบายตรึงคนใช้ CAI ให้อยู่ชิ้นงานของเรา เช่น Flash Intro, Game, Cartoon เป็นต้น
    - Programming Resource ส่วนนี้เป็นทรัพยากรที่ต้องเตรียมไว้เพื่อการทำโปรแกรม เช่น ข้อความโต้ตอบระหว่างโปรแกรมกับผู้ใช้ ไอคอนของโปรแกรม ฐานข้อมูล Locked Fileหรือแม้แต่ช่องทางการสื่อสารจากคนใช้ CAI กับคนทำ CAI
  4. Peer Review เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คุณคิดและเตรียมลงมือทำ ได้รับการตรวจสอบหรือวิพากวิจารณ์จากผู้รู้ ที่ปรึกษา หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นใครซักคนที่ยินดีชี้แนะเราอย่างสร้างสรรค์ กับสิ่งที่เราจะทำ
    ..... เปิดใจให้กว้าง ไม่หาเหตุผลลบล้างทัศนที่เป็นลบตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อข้ามคำติเตือน หรือสิ่งที่ Peer หาไม่พบในงานของเรา

เอาหล่ะ! เราน่าจะพร้อมจะหรับทำแผนการทำงานกันแล้ว

เงิน เงิน เงิน


ไม่ว่าคุณจะมี Content ดีแค่ไหน ไม่ว่าคุณจะมีทีมที่เก่งเพียงใด โครงการ CAI ของคุณก็จะเป็นเพียงวิมานในอากาศถ้าขาดสิ่งที่สำคัญกว่า.....
..... ตังค์ครับ!!!
คำถามคือ ถ้าจะทำ CAI ซักเรื่องต้องใช้ตังค์เท่าไหร่?
ไม่ทราบครับ อาจจะไม่ต้องใช้ตังค์เลยก็ได้ถ้าคุณมีทุกอย่างในมือ
  1. มี Content
  2. มี Resources จำพวกภาพประกอบ วิดีโอ เสียงบรรยาย Animation ฯลฯ ครบถ้วน
  3. มีทักษะความสามารถและประสบการณ์ในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำ CAI ซึ่งหลัก ๆ ก็ได้แก่
    - Multimedia Authoring เช่น Authorware, Autoplay Media Studio, Director ฯลฯ
    - Graphic Editor เช่น Photoshop, Illustrator, RealDraw ฯลฯo Sound Editor เช่น SoundForge, Audacity ฯลฯ
    - Video Editor เช่น Premier, Video Studio, Vagus ฯลฯ
    นอกจากนี้ยังอาจต้องใช้โปรแกรมพิเศษอื่น ๆ อีกบ้างตามแต่ เทคนิคในการทำ CAI แต่ละประเภท เช่น ถ้าเป็น CAI ประเภท Screen Capture ก็จำเป็นต้องใช้โปรแกรม Screen Recorder เป็น เป็นต้น
  4. มีเวลาและความตั้งใจที่จะทำ CAI ให้เสร็จ

ถ้าสำเร็จรูปขนาดนี้ เงินทุนที่ต้องใส่ลงไปใน CAI ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร

แต่ถ้าคุณตั้งต้นที่โจทก์เพียงข้อเดียวแบบ
..... อยากทำ CAI เรื่อง ________________
แล้วถามว่าจะต้องใช้ตังค์เท่าไหร่?
ไม่ทราบครับ!!! จะบอกได้ก็ต่อเมื่อพิมพ์เขียวที่จะสร้าง CAI เป็นรูปเป็นร่างพอที่จะเห็นภาพและประเมินอะไร ๆ ได้ชัดเจนจึงจะประมาณการ (Estimate) ได้
..... ถ้าพิมพ์เขียวของคุณเป็นแค่ Slide Show แปลงร่างมา ก็ไม่น่าจะต้องใช้เงินทุนมากมายอะไร
..... แต่ถ้าพิมพ์เขียวของคุณระบุว่าต้องใช้ 3D Animation ระดับ Hollywood เป็น Resource หลัก ก็เตรียมกระเป๋าฉีกได้เลย หรือไม่ก็เกาะขาสปอนเซอร์ตัวเป้ง ๆ ไว้แน่น ๆ




06 January 2008

เริ่มนับหนึ่ง กับ CAI

เมื่อคิดจะทำ CAI จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ อย่างแรกที่ต้องเข้าใจเสียก่อนมีอยู่ 2 อย่าง
  • อย่างแรก CAI ไม่ใช่ตำราเรียน ไม่ใช่หนังสือ และไม่ใช่เกมคอมพิวเตอร์ เพราะ CAI คือ CAI
  • อย่างที่สอง CAI ไม่ใช่ครูอาจารย์ ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน CAI ยังไม่ยืดยุ่นพอที่จะแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่กอรปด้วยพื้นความรู้และทักษะที่แตกต่างหลากหลาย

ดังนั้น การออกแบบวัตถุประสงค์ในการทำ CAI ต้องเหมาะสม ใช้ศักยภาพของความเป็นซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ให้เต็มประสิทธิภาพ แต่ไม่ควรรกรุงรังด้วยลูกเล่นไร้สาระจนขาดความน่าเชื่อถือในเนื้อหา จนนำไปสู่การทำลายความน่าเชื่อถือของผู้สร้าง และทำร้าย CAI ทั้งหมด ทำให้ CAI ล้มหายตายจากไปจากวงการการศึกษา
..... กว่าจะทำได้แต่ละเรื่อง ยากพอ ๆ กับการเขียนตำราซักเล่มหรือพิมพ์หนังสือซักเรื่อง แต่การยอมรับจากคนใช้กับต่ำต้อยกว่าที่ควรจะเป็น ก็คงไม่มีใครอยากทำ

เพื่อหลีกหนี ความล้มเหลวนานา การจะเตรียมการสร้าง CAI ซักเรื่องต้องพร้อมในสองส่วนอีกเช่นเดียวกัน

  • ส่วนแรกคือ Content Master หรือเจ้าของเรื่อง เจ้าของเนื้อหา ร้อยละร้อย CAI เริ่มต้นที่ Content Master
  • ส่วนที่สองคือ CAI Constructer ซึ่งจะต้องมีพื้นฐานการพัฒนาซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ มีพื้นฐานในการออกแบบกราฟฟิกคอมพิวเตอร์ และมีพื้นฐานทางศิลปะเป็นอย่างน้อย

ยากซักหน่อยที่จะหา Content Master และ Constructer ในคน ๆ เดียว ที่ผมเจอและรู้จัก จะเป็น Content Master ที่ลองผิดลองถูกกับการทำ CAI ที่มีเพียงหนังสือซักเล่มสองเล่มเป็นที่ปรึกษากับตัวอย่าง CAI ที่คนอื่นทำเอาไว้เป็นแม่แบบ
..... ส่วนใหญ่ทำ CAI จนเสร็จ แต่คุณภาพเนื้องานก็... มือใหม่นี่นา!!!
..... แต่บางส่วนล้มเหลว เหนื่อยหน่าย ต้องไปจ้าง Constructer มาช่วย ในขณะที่บางส่วนล้มเลิกโครงการไปเลยก็มีไม่น้อย

สรุปแล้ว ถ้าคุณคิดจะทำ CAI คุณควรเริ่มต้นที่ Content และ Constructer เสียก่อน ถ้าทั้งสองส่วนคือคุณคนเดียว ก็เตรียมคลอดพิมพ์เขียวดราฟท์แรกได้เลย แต่ถ้าไม่ใช่คุณคนเดียว การหาทีมเพื่อให้ครบทั้งสองส่วนควรให้ความสำคัญเป็นเรื่องแรก ต่อให้ต้องใช้มือปืนรับจ้าง ก็ควรจะติดต่อทาบทามให้เป็นทีมสร้าง CAI เสียก่อน

เพราะ Constructer จะให้คำแนะนำในการนำ Content ไปสู่พิมพ์เขียว ซึ่งมีความสำคัญกับความราบรื่นของขั้นตอนการทำ CAI จนเสร็จ



ทำไมต้อง CAI

CAI ย่อมาจาก Computer Assisted Instruction ซึ่งเป็นชื่อย่อชื่อเต็มของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เอาเป็นว่า ส่วนของการนิยามศัพท์ผมขอผ่าน โดยส่วนตัวผมมองว่าการนิยามศัพท์คำว่า CAI เป็นเรื่องของประสบการณ์

สำหรับผม CAI เป็นสาร (Media) ที่คนทำ CAI ต้องการส่งผ่านเนื้อความในนั้นไปยังคนใช้ CAI เพราะฉะนั้น ไม่ว่า CAI ที่ผมทำจะเป็นเรื่องแบบไหน หรือเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง อย่างแรกสุดจึงต้องคำนึงถึงคนใช้ CAI หรือคนรับสารของผมเป็นตัวตั้ง

ในอีกมิติหนึ่ง CAI เป็นซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ ผมจึงมองการสร้าง CAI เป็นการสร้างซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ยังต้องเคร่งครัดในขั้นตอนการออกแบบซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ดี เพื่อไม่ให้ CAI ที่ทำออกมากลายเป็นซอฟท์แวร์ที่ไร้คุณค่า

ส่วนในมุมของผู้ใช้ CAI เหตุผลเดียวที่ผมจะหยิบ CAI มาเปิดดูเพราะต้องรู้ต้องเรียนหรืออยากรู้อยากเรียนเนื้อหาใน CAI เท่านั้น

..... เป็นเหตุผลเดียวกับที่เราต้องไปนั่งฟังเลคเชอร์ในชั้นเรียน! และเป็นคนละเหตุผลกับการไปดูหนังหรือชมคอนเสิร์ต!!!
ดังนั้น CAI ต้องเลคเชอร์ให้น่าติดตามที่สุด ดึงดูดที่สุด โดยไม่ขาดตกหกหล่นในเนื้อหาและรายละเอียดของสาร นำวัตถุประสงค์ในการทำ CAI ไปยังจุดหมายปลายทางด้วยความสำเร็จ ซึ่งผลสะท้อนการใช้ CAI จะทำให้ผู้ใช้ ได้เรียนที่อยากเรียน ได้รู้ที่อยากรู้ ได้เข้าใจที่เคยสงสัย และยินดีจะใช้ซ้ำ บอกต่อ แนะนำ ให้กับคนอื่น ๆ ที่อยากเรียนอยากรู้เรื่องเดียวกัน

..... เมื่อนั้นแหละ CAI ที่เราสร้างขึ้นจึงจะเป็นผลงานที่ทรงคุณค่า คอยให้ความรู้กับคนใช้ CAI คนแล้วคนเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยที่คนทำ CAI ไม่ต้องไปคอยเลคเชอร์เรื่องเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างที่คอมพิวเตอร์ถนัด
..... ถ้าถามว่า ทำไมต้อง CAI
..... เพราะ CAI ช่วยเลคเชอร์ซ้ำแล้วซ้ำอีกแทนเราอย่าซื่อสัตย์นั่นเอง